วิกฤติไวรัสโควิด-19 ป่วนอสังหาฯรุนแรง
ไม่เห็นแน่การซื้อขายที่กลางเมืองวาละ2-3 ล้าน ส่งผลราคาวูบ 20-30% จับตาหลายบริษัทขาดสภาพคล่องลดพนักงาน
ขายทรัพย์สินพยุงธุรกิจก่อนจะล้มไม่เป็นท่า
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
อยู่ในภาวะชะลอตัว 1-2 ปีที่ผ่านมา
จากจำนวนซัพพลายสูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะดีมานด์
เพิ่มขึ้นไม่ทันจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว จนทำให้เกิดปัญหาโอเวอร์ซัพพลายในหลายพื้นที่
เนื่องจากผู้ประกอบการเข้ามาแข่งขันในตลาดเดียวกันมากเกินไป
โดยเฉพาะในตลาดคอนโดมิเนียมทำให้ซัพพลายเกิดขึ้นจำนวนมากตามแนวรถไฟฟ้าในบางทำเล
ส่งผลให้การ ชิงไหวชิงพริบซื้อที่ดินราคาแพงระยับกลางใจเมือง ตารางวาละ 2-3 ล้านบาท หายไปจากตลาด
ทั้งนี้ นายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์
ประธานและผู้ก่อตั้ง บริษัท เซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) จำกัด วิเคราะห์ว่า หากสถานการณ์โควิด-19
ยืดเยื้อ แนวโน้ม ผู้ประกอบการจำเป็นต้องขายสินทรัพย์เพื่อรักษาสภาพคล่อง
และลดภาระหนี้-ดอกเบี้ยที่แบกอยู่ โดยในระยะ 2 ปีนับจากนี้
จะมีการขายสินทรัพย์ที่ถือครองอยู่ ทั้งโรงแรม รีสอร์ท
รวมถึงที่ดินที่ซื้อไว้เพื่อพัฒนาโครงการในอนาคต
โดยเริ่มมีผู้ประกอบการรายใหญ่ทยอยประกาศขายที่ดินออกมาบ้างแล้ว
และจะยิ่งมีมากขึ้นในไตรมาสที่ 4 ทั้งการเสนอขาย การจำนอง
จำนำ และการขายฝาก แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะมีคนซื้อหรือไม่ เพราะทุกคนก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันหมด
ส่งผลให้ราคาที่ดินในตลาดจะเริ่มลดลง 20-30% ภายในไตรมาสที่ 3-4 ของปีนี้จะไม่เห็นการซื้อขายที่ดินในราคาตารางวาละ 2-3 ล้านบาท โดยเจ้าของที่ดินจะเปลี่ยนจากการขายเป็นการปล่อยเช่าระยะยาวแทน
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จนอาจทำให้หลายบริษัทเกิดปัญหาสภาพคล่อง
เพราะยอดขายและรายได้ไม่สอดคล้องกับภาระหนี้และภาระต้นทุนที่มีอยู่
จนต้องขายสินทรัพย์ รวมถึงลดพนักงาน เพื่อประคองธุรกิจให้อยู่รอด
และจะทำให้เกิดการเปลี่ยน แปลงครั้งใหญ่ หลังจากวิกฤตินี้ผ่านพ้นไป
“หลายบริษัทจะเริ่มมีปัญหาสภาพคล่อง
ไม่สามารถชำระคืนเงินกู้ หรือหุ้นกู้ และจำเป็นต้องพึ่งเงินกู้ซอฟท์โลนของรัฐ
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะรัฐจะต้องกำหนดเงื่อนไขในการปล่อยกู้
เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้วยเช่นกัน เช่น อาจจะกำหนดให้ต้องขายสินทรัพย์
หรือลดราคาสินค้าลงมา เพื่อระบายสต๊อกที่มีอยู่ออกไปก่อน
ซึ่งจะมีบริษัทที่เกิดปัญหาสภาพคล่องให้เห็นแน่นอน ขณะเดียวกัน
หลายบริษัทจะต้องลดภาระด้วยการ ลดเงินเดือน หรือให้พนักงานออก
รวมถึงการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้”
สำหรับบทสรุปสุดท้ายผลกระทบโควิด-19
จะทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เปลี่ยนไปจากเดิมทั้งในด้านพฤติกรรมผู้บริโภคที่จะเปลี่ยนแปลงไป
และแนวทางการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต
ผู้ประกอบการต้องนำเรื่องของวิกฤติขนาดใหญ่ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติจากโรคระบาด
วิกฤติที่เกิดจากภัยธรรมชาติ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้เสมอและส่งผลกระทบอย่างรุนแรง
รวดเร็ว มาเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาเพื่อป้องกันความเสี่ยง
“การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะมุ่งสู่การพัฒนาเพื่อความยั่งยืน
จะมีการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจมากขึ้น
โดยโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบจะมีบทบาทมากขึ้น และยังเป็นตลาดที่พอไปได้อยู่
ขณะที่คอนโดใหม่จะลดจำนวนลงในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
การพัฒนาจะเน้นโครงการขนาดเล็กที่อยู่รอบๆ
เมืองชั้นในกระจายไปตามแนวรถไฟฟ้าสายที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน
และที่จะเปิดในอนาคต”
SOURCE : www.thansettakij.com